วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เก็บของลงกระเป๋าเอาอะไรไปญี่ปุ่นมั่ง

หลังจากได้ตั๋วเครื่องบินแล้ว ได้ที่พักแล้ว พอจะรู้ที่เที่ยวคร่าวๆแล้ว ก็ถึงเวลาเตรียมตัวเดินทาง ซึ่งค่อนข้างจะตื่นเต้นและประหม่ามากๆสำหรับคนที่เพิ่งจะเคยเดินทางครั้งแรก ผมต้องเดินทางวันอังคารตอนเย็น วันจันทร์พอลูกเลิกเรียนผมก็ขับรถไปฝากไว้ที่บ้านยายที่ลำปาง และขับรถกลับมาตอนเช้า ก็ทำงานปกติ พอถึงเที่ยง ก็ลิสต์รายการของที่จะต้องเตรียมใส่กระเป๋า จากนั้นก็เริ่มจัดกระเป๋า เสร็จแล้วก็ออกไปแลกเงิน 


การแลกเงินนั้น ผมสอบถามมาหลายคน ส่วนมากจะแลกกันที่สนามบิน เพราะว่าสะดวกดี แต่ผมดูแล้วว่ามันสะดวกจริง แต่อัตราแลกมันไม่ค่อยดี ก็เลยไปแลกที่ร้านนึงในเชียงใหม่ ชื่อร้าน สากลธุรกิจ อยู่แถวๆไนท์ บาร์ซ่า ปรากฎว่าได้เรทดีกว่าธนาคารจริงๆด้วย และร้านนี้มีเรทเดียว คือ เวลาซื้อกับเวลาขายคืน ใช้เรทเดียวกัน ก็แปลกดี ผมยังสงสัยว่า ทำแบบนี้แล้วเขาจะได้กำไรได้อย่างไร 

ผมแลกเงินไป 80000 เยน สำหรับใช้สองคน ระยะเวลาเจ็ดวัน ไม่ค่อยพอนะครับ น่าจะแลกไปเผื่อด้วยอีกสักหน่อย แต่ถ้ากลัวไม่ปลดภัย ใช้ไปกด ATM เอาที่นั่นก็ได้ครับ แต่เสียค่าธรรมเนียมครั้งละ 100 บาทนะครับ ผมเองก็กดที่ร้าน 7-Eleven ไปครั้งนึง
มาดูลิสของที่สำคัญกันนะครับ บางอย่างผมลืม เลยมาบอกไว้
  • Passport อันนี้สำคัญมาก พกไว้ใกล้ตัวให้ตลอด ผมเอาใส่เป้ที่สะพายไว้กับตัว ไม่เอาโหลดใต้เครื่องนะครับ และยังถ่ายเอกสารไว้อีกหนึ่งชุดด้วย ใบถ่ายสำเนาเอาไว้กระเป๋าใหญ่ได้ครับ
  • เงินเยน แลกไปพอสมควรนะครับ
  • เงินบาท ผมติดตัวไว้เล็กน้อย เผื่อใช้จ่ายที่สนามบิน
  • ตั๋วเครื่องบิน – ผมใช้วิธีเช็คอินผ่านเว็บเอาทั้งหมด สะดวกดีครับ ช่วยลดขั้นตอนการเสียเวลาลงได้นิดนึง ใครยังไม่เคยลองดูครับ ไม่ยากๆ http://www.thaiair.com/ -> Internet Check In ส่วนของ All Nippon Airways ไปที่ http://www.ana.co.jp/wws/us/e/local/reservation/ 
  • บัตรเครดิต ควรเอาไปอย่างน้อยสองใบ ผมเอาไปสองใบ สองธนาคาร ทั้งแบบ Visa และ Master กันเหนียวเผื่อใบไหนรูดไม่ได้ จะได้ใช้อีกใบนึง และเราสามารถโทรไปขอเฟิ่มวงเงินกับธนาคารเจ้าของบัตรในระหว่างเดินทางไปต่างประเทศได้ด้วยนะครับ ควรโทรล่วงหน้าก่อนเดินทางหนึ่งวัน ของผมโทรตอนเช้า เขาเพิ่มให้ก่อนห้าโมงเย็น โดยเพิ่มวงเงินให้อีกหนึ่งเท่าตัว ก็ดีครับ อุ่นใจเพิ่มมากขึ้น
  • ที่อยู่ของคนที่เราพักด้วย/โรงแรมที่เราจองไว้ เอาแบบละเอียด พร้อมเบอร์โทร มือถึอ เบอร์แฟ๊ก อีเมล์ หลักฐานการจอง ปรินท์ลงในแผ่นเดียวกันเลยครับ เวลาไปไม่ถูก หลงทาง หาไม่เจอ มันได้ใช้ประโยชน์
  • นาฬิกา ปกติอยู่เมืองไทย ผมไม่ใส่นะครับ แต่คราวนี้ต้องงัดมาใส่เสียแล้ว เวลาที่ญี่ปุ่นเร็วกว่าบ้านเราสองชั่วโมง พอลงเครื่องก็ตั้งเวลาใหม่เอาครับ
  • รองเท้าใส่สบายที่สุด อย่าเอารองเท่าที่สวยแต่กัดเท้ามาใส่เด็ดขาด เพราะท่านจะต้องเดิน เดิน แล้วก็เดิน วันนึงน่าจะหลายกิโลเมตรอยู่ เลือกเอาที่ใส่สบาย ไม่มีกลิ่นอับ พร้อมลุยได้ทุกสถานะการณ์จะดีมากครับ
  • หมวก/ถุงมือ อันนี้ผมลืมและไม่คิดว่าจะได้ใช้ อันที่จริงไปต่างประเทศเราควรเช็คสภาพอากาศให้ดี เพื่อจะได้เตรียมเส้ือผ้าให้เหมาะสม วันที่ผมไปถึงอุณหภูมิประมาณ 0-1 องศาในตอนกลางวัน หนาวจนแสบจมูกไปหมด ผมต้องเดินหาซื้อถุงมือและหมวดแถวๆนั้นเอา น่าจะจัดใส่กระเป๋าไปด้วยครับ
  • คู่มือพูดภาษาญี่ปุ่นอย่างง่าย แฟนผมซื้อต่อเพื่อนมา ราคามือสองห้าร้อยบาท เป็นแบบอังกฤษ-ญี่ปุ่น แฟนผมพูดอังกฤษไม่ได้ ญี่ปุ่นก็ไม่ได้ หนังสือนี้ดีตรงที่มีภาพวาดประกอบเป็นการ์ตูน ใช้ง่าย พูดไม่ได้ก็เอานิ้วชี้ๆเอา เขาก็เข้าใจครับ ติดตัวไว้ใช้ สนุกดีด้วย


สิ่งที่ผมไม่เอาไป

- Laptop/Notebook ถ้าไม่มีงานที่ต้องทำจำเป็นจริงๆ ผมว่าไม่ควรเอาไป เพราะมันหนักกระเป๋า และเป็นภาระให้เราต้องคอยห่วงอยู่ตลอด ถ้าเอาโหลดใต้เครื่องก็มีโอกาสหายสูง ถ้าเอาติดตัวก็หนัก และเวลาถูกค้นก็ต้องเปิดกระเป๋าบ่อยๆ เข้าๆออกๆ กระแทกบ่อยๆ ผมคิดว่ามันอาจจะพังได้นะครับ ส่วนผมก็ใช้วิธีเช็คเมลที่ร้านเน็ตเอาครับ ถูก เร็ว ดี แต่ไม่มีแป้นไทย ก็พิมพ์อังกฤษเอาครับ แต่ถ้ามีงานเยอะมากๆที่ต้องทำ ผมก็แนะนำว่า อย่าเพิ่งไปเที่ยวครับ ทำงานให้เสร็จแล้ว แล้วค่อยไปก็ได้

โทรศัพท์มือถือ เอาไปก็ใช้ไม่ได้ครับ เว้นแต่จะเปิด Roaming ซึ่งก็แพงอีกรับทีบานเลยครับ เว้นแต่จะมีโปรอะไรน่าสนใจท่านก็ลองถามผู้ให้บริการที่ท่านใช้อยู่นะครับ 

หนังสือคู่มือหนาๆ เพราะเอาเข้าจริงไม่ค่อยได้ใช้ครับ ที่เราต้องการมากๆ คือแผนที่รถไฟ ซึ่งหาหยิบได้ตามสถานี หรือที่สนามบินอยู่แล้ว เอาไกด์บุ๊คบางๆ เล่มที่เราชอบไปสักสองเล่มก็เพียงพอแล้ว

หาที่เที่ยวในญี่ปุ่นเยอะมากจะไปไหนดี

สำหรับเรื่องที่เที่ยวนั้น ผมเพียงแต่วางแผนอย่างคร่าวๆ ไม่อยากให้ซีเรียส เร่งรีบอะไรมาก เพราะผมมีเวลาเยอะ ตั้งเจ็ดวันที่จะสำรวจเมืองโตเกียว แต่ถึงอย่างไรชีวิตเราก็ต้องวางแผน ผมเริ่มต้นโดยการหาข้อมูลในเน็ต และซื้อหนังสือมาอ่าน แล้วลิสต์มาว่า มีที่ไหนที่เราอยากไปบ้าง เป็นข้อๆไป จากนั้น ผมก็ส่งเมลให้ Hiromi ดู และบอกว่า ผมจะขอปรึกษาเรื่องแผนการเดินทางไปที่ต่างๆที่ส่งไปให้นะ เพราะผมไม่รู้ว่า ที่ไหนมันใกล้ ที่ไหนไกล ที่ไหนติดกัน จะได้ไปได้ถูกและประหยัดค่าเดินทาง แหล่งข้อมูลที่ผมใช้หาที่เที่ยวมีดังนี้ครับ

ส่วนที่หลักๆที่ผมลิสต์มาคร่าวๆได้มีดังนี้ครับ
- - Free Bird's Eye View of Tokyo
On the 45th floor of the Tokyo Metropolitan Government Building in Shinjuku (west exit) -อันนี้ไปมาครับ วิวสวยดี ดูได้รอบด้าน
- Almost Free Shopping (100YEN)
With everything inside (food, souvenirs, stationery, toiletries etc) costing only 100 yen, look out for the "100 Yen" shops! There's one in most districts - the branch in Shibuya has five floors! - ร้าน 100 Yen ไปมาสองที่ครับ ร้านเล็ก กับร้ายใหญ่สุดที่ ชิบูย่า มีห้าชั้น คนเยอะมาก
- The Tokyo Fish Market – ส่วนมากแล้วคนจะไปที่ตลาดปลาซึคิจิ แต่ผมไปที่ตลาดสดอุเอโนะแทน เพราะเปิดสายครับ ซึคิจิต้องไปก่อนเจ็ดโมงครึ่ง
- All you can drink: 100 choices for 100 minutes at ¥1000 Address: 4F Aishin Bldg, 2-2 Yotsuya, Shinjuku, Tokyo – ร้านนี้ก็ไม่ได้ไปครับ เพราะมีร้านให้เลือกดื่มเยอะมากอยู่แล้ว
- Shinjuku - Don Quijote มีของสารพัดสรรพสิ่งให้เลือกสรร ของขายเยอะมากครับ เยอะจนจะไม่มีที่เดินอยู่แล้ว จะหยุดเลือกของทีก็ต้องหลบทางให้คนอื่น ร้านนี้เปิด 24 ชั่วโมงครับ – ร้านนี้ผมไม่ได้ไปครับ ไป Shopping ร้านอื่นแทน
- B-Grade reataurant – คือ ดูรายการทีวีแชมเปี้ยนมามาก อยากกินร้านอาหารเกรดบีมากๆ แต่ร้านมันหายากครับ เดินไปเรื่อยๆก็จะเจอร้านข้างทางราคาไม่แพง ผมกินมาหลายร้านครับ
- Huge Gundum – กันดัมยักษ์ขนาดสูง 18 เมตรเท่าของจริง แต่ไปถึงญี่ปุนเขาเก็บไปแล้วครับ ฮิโรมิบอกว่า เขาเอาออกมาเฉพาะช่วงเทศกาลหรืองานพิเศษเท่านั้น แถมยังเปิดเว้บให้ผมดูว่า เขาถอดแขนขามันออกยังไงด้วย งานนี้อดดูครับ
- Cartoon museumไปญี่ปุ่นก็ตั้งใจไปดูการ์ตูนเยอะๆ เอาเข้าจริงๆ ผมไป Museum เยอะมากแต่ไม่ใช่การ์ตูนครับ เป็น Art Museum ล้วนๆ มีงานของศิลปินระดับโลกมาแสดงด้วย ที่ญี่ปุ่นมีแกลเลอรี่แสดงงานศิลปะเยอะมาก ทั้งเล็กใหญ่ ผุดอยู่ตามซอกซอย คนของเขาเสพศิลปะกันเป็นเรื่องธรรมดาครับ คนแก่ คนหนุ่ม เด็กๆ ก็ไปดูงานศิลปะกัน ไม่ใช่ในวันหยุดนะครับ วันธรรมดานี่แหละ คนเพียบเลย เสียเงินซ้ือตั๋วเข้าไปดู เขาก็ยอมจ่ายครับ นี่แหละครับ บ้านเมืองเขาถึงเจริญขึ้นอย่างมีวัฒนธรรม ผู้คนใช้ชีวิตอย่างมีศิลปะ

เริ่มหาที่พักที่ญี่ปุ่น

ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะนอน Hostel – Guesthouse ทั้งหมด ส่วนวันสุดท้ายจะไปนอนโรงแรมใกล้ๆสนามบิน เพราะกลัวตกเครื่อง แต่ก็กลัวชีวิตจะเงียบเหงาเกินไป อยากเจอคนญี่ปุ่นตัวเป็นๆ ใช้ชีวิตแบบคนญี่ปุ่นบ้าง ก็เลยลองหาโฮมสเตย์ที่โตเกียวดูจากเว็บ http://www.homestayweb.com/ ดู ซึ่งก็ใช้งานง่ายมาก ผมก็เลือกดูที่น่าสนใจและราคาไม่แพง โดยผมดูว่า ที่ไหนให้ที่พักพร้อมอาหารบ้าง ซึ่งราคาจะแพงขึ้นอีกนิดนึง ก็ได้มาประมาณห้าที่ แล้วผมก็ส่งเมลไปตามแบบฟอร์มของเว็บ ปรากฎว่า มีตอบกลับมาหลายที่ แต่มีที่เดียวที่ว่างและให้เราไปพักได้ เจ้าของบ้านชื่อ Hiromi อยู่กับคุณแม่ และลูกสาว บ้านอยู่แถวสถานี Toshimaen (มันอยู่ตรงไหนเนี้ย ไม่เคยได้ยินเลย) คิดราคาคนละ 3000 เยนต่อคืน สองคนก็ตกคืนละ 6000  เยน ผมก็ตกลงพักที่นี่ ซึ่งจากการหาข้อมูลของผมแล้ว ที่นี่น่าจะถูกที่สุดหากเทียบกับการพักเกสเฮาส์บางที่ที่อาจมีราคาต่อคืนถูกกว่า แต่ที่นี่เขาเลี้ยงอาหารมื้อค่ำ และอาหารเบา (ชา กาแฟ ขนมปัง) มื้อเช้าด้วย ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า ค่าอาหารที่ญี่ปุ่นค่อนข้างจะแพงมาก ถ้าประหยัดค่าอาหารส่วนนี้ไปได้ ก็จะช่วยได้มากโข ซึ่งพอไปพักจริงๆ เขาเลี้ยงดูเราอย่างดีมากๆ ทั้งมื้อเช้า และมื้อค่ำ บางวันมีมื้อกลางวันด้วย ประทับใจจ๊อดจริงๆ ผมกำหนดนอนที่ญี่ปุ่นเจ็ดคืน เลยขอจองพักกับ Hiromi เสียสามคืน และมาขอเพิ่มอีกหนึ่งคืนในตอนหลัง

จองตั๋วเครื่องบิน

ตั๋วเครื่องบิน
กลับมาเรื่องตั๋วเครื่องบิน เนื่องจากวันเดินทางไปกลับของผมยืดหยุ่นได้นิดหน่อย การเดินทางไปญึ่ปุ่นของผมไม่มีปัญหา แต่ปัญหาอยู่ที่การเดินทางไปต่อเครื่องที่สุวรรณภูมิ เพราะมันไม่มีไฟลท์ที่คอนเนคกัน หรือมันมี แต่มันก็ยุ่งยาก และเราไม่มีประสบการณ์ว่า ต้องรอนานแค่ไหนถึงจะเหมาะสม ผมเลยตัดสนใจลองใช้บริการ Agent รับจองตั๋วแทน โดยที่เชียงใหม่มีเจ้าที่ผมเคยได้ยินมานาน แต่ไม่เคยใช้บริการ คือ บริษัท จรัลธุรกิจ ผมก็ค้นหาเบอร์จากเน็ต แล้วก็โทรไป ปรากฎว่า ได้รับการบริการดีมาก ช่วยเหลือในเรื่องการคอนเนคไฟลท์ ผมก็ถามเยอะแต่เขาไม่มีทีท่ารำคาญแต่อย่างใด ที่สำคัญคือ ราคาตั๋วถูกกว่าเราจองเองผ่านเว็บอีกนิดหน่อย รวมถึงมีบริการส่งตั๋วให้ถึงบ้านด้วย ผมชอบใจมาก ประหยัดทั้งเงิน ประหยัดทั้งเวลา

สุดท้ายผมก็ได้ตั๋วมา ทั้งหมดสี่เที่ยวบิน คือ การบินไทย จาก เชียงใหม่ - กทม. และ กทม. - เชียงใหม่, All Nippon Airways จาก กทมนาริตะ และ นาริตะกทม. ทั้งหมดนี้ราคา 4xxxx นิดๆสำหรับสองคน ซึ่งผมก็โอเค จองเองอาจถูกกว่านี้ แต่ต้องรอเวลานาน หรืออาจต้องนั่งรถไฟไป กทม แล้วรอขึ้นเครื่องตอนเที่ยงคืน ซึ่งผมได้เวลาทำงานเพิ่มมาอีกหนึ่งวัน ก็นับว่าคุ้มครับ

ตั๋วรถไฟ

ตั๋วรถไฟ
ลืมบอกไปว่า บางบริษัท เขาจะมีโปรพิเศษ คือ ขายตั๋วเครื่องบินพร้อมที่พักในราคาพิเศษ (รวมแล้วถูกจริงๆ) หรือ ขายตั๋วพร้อมตั๋วรถไฟ JR http://www.japanrailpass.net/eng/en001.html (JR เป็นรถไฟชนิดหนึ่งของญี่ปุ่น มีสีเขียว วิ่งบนดิน เชื่อมต่อส่วนต่างๆในโตเกียว รวมถึงเชื่อมโยงไปยังจังหวัดต่างๆ) ซึ่งเป็นตั๋วเหมามีหลายแบบ ถ้าซื้อแบบ 7 วัน เราก้ขึ้น JR ไปไหนก็ได้ ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ยกเว้นอยู่สองสาย ซึ่งจะมีบอกเป็นข้อยกเว้นไว้อยู่แล้ว ตั๋วแบบนี้คุ้มสำหรับคนที่วางแผนเดินทางไปหลายๆจังหวัด หรือเดินทางบ่อยๆด้วย JR เพราะจะประหยัดได้เยอะ แต่ของผมไม่เลือกแบบนี้ เพราะผมอยู่แค่ในโตเกียว อาจออกไปที่ นากาโน่ สักหนึ่งวัน เพื่อดูหิมะ แล้วก็กลับ ดังนั้น การซื้อตั๋วเหมา JR ไม่คุ้มสำหรับผม ผมใช้วิธีซื้อตัวเติมเงิน Pasmo http://www.pasmo.co.jp/en/ เอาครับ ซื้อได้ที่สนามบินนั่นเลย หยอดตู้เอาครับ ต้องมัดจำตั๋วขั้นต่ำ 500 เยน และได้คืนเมื่อเราคืนตั๋ว ผมกับแฟนซื้อไว้คนละ 5000 เยน สำหรับการอยู่ที่นั่น 7 วัน ซึ่งต้องเติมเพิ่มอีกประมาณคนละ 1000 เยนเท่านั้น ตั๋ว Pasmo ใช้ขึ้นรถไฟได้แทบทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น JR, Metro รถเมล์ นอกจากนั้นแล้ว ตั๋ว Pasmo ยังใช้ซื้อของในร้านสะดวกซื้อได้ด้วย เช่นร้าน 7-Eleven, Family Mart, AM-PM ผมก็ใช้บ่อยเหมือนกัน เพราะไม่อยากเก็บเศษเหรียญ 1 เยน

วางแผนการเดินทาง

พอได้วีซ่ามาแล้ว ผมก็มาจัดการเรื่องการเดินทาง ที่พัก ที่เที่ยว โดยเริ่มจากการจองตั๋วเครื่องบินก่อน ผมมีเวลาอยู่ญี่ปุ่นได้ 15 วัน ผมก็ไล่ดูโปรโมชั่นตามเว็บต่างๆ ว่ามีอะไรบ้าง (ให้ลองค้นกูเกิ้ล คำว่าตั๋วเครื่องบิน ญี่ปุ่นหรือโปรโมชั่น ตั๋วเครื่องบิน ญี่ปุ่น”)  และก็เปรียบเทียบดูว่าอันไหนที่เข้ากับแผนของเรา

ผมดูแล้วตัดสินใจจองแบบถูกสุด บินไปกลับตกคนละประมาณ 15000 บาทเท่านั้น ถูกจริงๆครับ แต่เอาเข้าจริงโทรไปแล้ว เต็มหมดทุกเจ้า ของถูกและดีมักไม่เหลือมาถึงเรา แต่ถ้าจองล่วงหน้านานๆ ก็อาจจะได้ก็ได้นะครับ ของผมล่วงหน้าประมาณไม่ถึงหนึ่งเดือน ตั๋วแบบถูกสุดเต็มหมดแล้ว

การขอวีซ่า การทำพาสปอร์ต

ในการเดินทางไปต่างประเทศ เราจะต้องทำหนังสือเดินทาง (Passport) กันก่อน โดยขอไปจากกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ สำหรับผมซึ่งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ก็เดินทางไปที่ศาลากลางจังหวัด ก็จะมีป้ายชี้ไปว่า ทำหนังสือเดินทาง ก็ตามป้ายไป เตรียมหลักฐานไปให้ดีๆจะได้ไม่เสียเวลาย้อนกลับไปกลับมา พร้อมเงินอีกคนละ 1000 บาท แล้วเขาก็จะจัดส่งมาให้ทางไปรษณีย์ ไม่ต้องเดินทางไปรับเอง

ส่วนการขอวีซ่านั้น ค่อนข้างจะยุ่งยากกว่าพอสมควร เนื่องจากมีหลักฐานที่ต้องใช้เยอะ ทั้งนี้สามารถดูได้จากเว็บไซต์ของสถานฑูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทยได้เลย http://www.th.emb-japan.go.jp/th/consular/visaindex.htm บางคนบอกว่า การขอวีซ่าญี่ปุ่นยากเป็นลำดับต้นๆของโลก ตามประสาประเทศที่พัฒนาแล้ว ต้องการคัดกรอง และป้องกันคนหลบหนีเข้าประเทศ คำแนะนำจากผมในเรื่องนี้คือ ดูเอกสารที่เขาบอกให้ดีๆว่าให้เตรียมอะไรบ้าง เขาต้องการไม่มาก ไม่น้อยไปกว่านั้น และอย่าลืมเอาหลักฐานตัวจริงทุกอย่างไปด้วย เขาดูตัวจริงประกอบด้วยทั้งหมด ส่วน Statement ที่บอกว่าต้องมีหกหลักขึ้นไปนั้น ผมยืนยันว่าเป็นข่าวลือ เพราะตอนที่ผมยื่นในบัญชีของทั้งสองคนสามีภรรยามีเงินเพียงห้าหลักเท่านั้น ควรจะยื่นหลักฐานที่ทำให้เขาแน่ใจว่า เรามีการงานแน่นอนที่เมืองไทย และจะกลับมาอยู่ที่นี่ เพียงต้องการเดินทางไปเที่ยวเท่านั้น และขอให้เตรียมตัวเผื่อการสัมภาษณ์ไว้ด้วย ในเคสของผมเขาก็ถามบางคำถามเท่านั้น เช่น ไปทำไม ไปที่ไหนบ้าง ไปกี่วัน ลูกๆที่เมืองไทยจะทำยังไง ผมก็ตอบเขาไปทั้งหมด และเขาก็ขอให้ผมเขียนแผนการเที่ยวคร่าวๆลงในกระดาษ ผมก็เขียนไปว่า วันที่หนึ่ง สอง สาม ทำอะไร สี่ ห้า หก ทำอะไร เจ็ดแปด ทำอะไร เดินทางกับสายการบินไหน แบบคร่าวๆ ให้เขารู้ว่า เราเตรียมตัวมาแล้วจริง ไม่ใช่ว่า จะไปแล้ว ไม่รู้อะไรเลย อย่าลืมครับ เตรียมตัวดี มีวีซ่าไปกว่าครึ่ง

เมื่อยื่นหลักฐานไปทุกอย่างแล้ว เขาก็ให้ใบนัดมารับฟังผลในอีกสองวัน พร้อมกับใหเตรียมเงินคนละ 1000 บาทมาด้วย ถ้าได้วีซ่าก็ให้จ่ายค่าธรรมเนียม ถ้าไม่ได้ ก็ไม่ต้องเสีย ผมกับแฟนก็รับใบนัดมา ใจตุ๊มๆต่อมๆ ตื่นเต้นเหมือนจะได้ไปแล้ว 

พอถึงวันนัดฟังผล ตื่นเต้นมาก นัดบ่ายโมง ไปถึงก่อนเวลานิดหน่อย ไปแล้วก็ได้คิวเลย ไม่ต้องรอนาน ยื่นใบนัดให้เขา เขาก็บอกว่า ค่าธรรมเนียม 2000 บาทค่ะ โอ้ววว ดีใจมาก นี่แสดงว่าเราได้ใช่ไหมเนี่ย เสร็จแล้วเขาก็จะอธิบายว่า ของเราเป็นวีซ่าชั่วคราว สำหรับท่องเที่ยว อยู่ญี่ปุ่นไป 15 วัน วีซ่ามีอายุ 90 วัน คือหมายความว่า เราจะต้องเดินทางภายใน 90 วัน และอยู่ได้ 15 วัน ผมก็รับฟังมา สีหน้ากลั้นดีใจไม่อยู่ คุณภรรยาตื่นเต้นมาก เดินออกมามีความสุขที่สุดในโลก ส่วนตัวผมดีใจ แต่ก็คิดว่า มีภาระหนัก ต้องวางแผนการเที่ยวครั้งนี้อย่างเต็มที่เสียแล้ว